ในฐานะโรงงานผู้ผลิตกระเป๋าให้กับแบรนด์ต่าง ๆ มามากว่า 36 ปี เราเข้าใจดีว่าการเลือก “เครื่องหนัง” คือหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ ที่ต้องการสร้างแบรนด์ให้โดดเด่น การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อคุณภาพ และความสวยงามของกระเป๋า แต่ยังสะท้อนถึงตัวตน และมูลค่าของแบรนด์อีกด้วย
บทความนี้ จึงไม่ใช่แค่คู่มือทั่วไป แต่เป็นการกลั่นกรองประสบการณ์จาก Suvino เพื่อช่วยให้แบรนด์ของคุณ ตัดสินใจเลือกใช้หนังได้อย่างมืออาชีพ เหมาะกับดีไซน์ งบประมาณ และทิศทางของแบรนด์มากที่สุด เราจะพาคุณไปเจาะลึกวัสดุแต่ละประเภท เพื่อให้การเริ่มต้นของคุณมั่นคง และถูกต้องที่สุด
เจาะลึก ประเภทเครื่องหนังสำหรับกระเป๋า มีอะไรบ้าง ?
ก่อนจะเลือกหนัง ให้เหมาะกับแบรนด์กระเป๋าของคุณ การทำความเข้าใจประเภทของหนังแต่ละชนิดถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งในแง่ของผิวสัมผัส ความทนทาน และภาพลักษณ์ โดยสามารถจำแนกประเภทของเครื่องหนังหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. Nubuck Leather
Nubuck Leather คือหนังที่ทำจากผิวด้านนอกของหนังสัตว์ (Top Grain) ซึ่งโดยมากจะใช้หนังวัว และผ่านการขัดผิวเบา ๆ เพื่อให้เกิดผิวสัมผัสที่นุ่มฟูคล้ายกำมะหยี่ ผิวของหนังนูบัคจะดูด้าน และให้ความรู้สึกหรูหรา แต่ยังคงความทนทานของหนังผิวหน้าไว้
Suvino’s Note: หนังนูบัค เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูเรียบหรู อบอุ่น และมีระดับ ในการผลิต เราแนะนำให้ใช้กับกระเป๋าทรงที่โชว์พื้นผิวของหนังได้ดี และต้องระมัดระวังเรื่องการตัดเย็บ เพื่อรักษาผิวที่บอบบางของหนังประเภทนี้
2. Suede Leather
Suede หรือที่เรียกว่า “หนังกลับ” คือหนังที่ได้จากผิวด้านในของหนังสัตว์ (Split leather) หลังจากแยกชั้นนอกออกไปแล้ว จะนำมาขัดจนได้ผิวสัมผัสที่เนียนนุ่ม และฟูละเอียด มีน้ำหนักเบา และยืดหยุ่นดี
Suvino’s Note: หนังกลับให้ความรู้สึกสบาย ๆ สไตล์โบฮีเมียน หรือวินเทจ เหมาะกับกระเป๋าที่ไม่ต้องการโครงสร้างแข็งมาก เช่น กระเป๋าทรงถุง หรือ Hobo อย่างไรก็ตาม หนังกลับดูดซับคราบสกปรก และความชื้นได้ง่าย ดังนั้นแบรนด์ควรแนะนำวิธีการดูแลที่ถูกต้องแก่ลูกค้าด้วย
3. Bicast Leather
Bicast Leather เป็นหนังแท้ชั้นกลาง (Split Leather) ที่ถูกเคลือบผิวด้านบนด้วยฟิล์มโพลียูรีเทน (PU) แล้วปั๊มลายเพื่อเลียนแบบหนังแท้ชนิดต่าง ๆ ทำให้พื้นผิวมีความมันวาว สม่ำเสมอ และทนทานต่อรอยขีดข่วนได้ในระดับหนึ่ง
Suvino’s Note: หนังประเภทนี้ เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับแบรนด์ที่ต้องการลุคของหนัง Exotic เช่น ลายจระเข้ ในต้นทุนที่ควบคุมได้ ง่ายต่อการดูแลรักษา และทำความสะอาด เหมาะสำหรับกระเป๋าที่ต้องการทรงแข็ง และมีโครงสร้างชัดเจน
4. Hair-on Hide Leather
Hair-on Hide เป็นเครื่องหนังที่ยังคงขนของสัตว์ไว้บนพื้นผิว โดยไม่ผ่านการกำจัดขนออก ลักษณะเด่นคือมีลวดลาย และสีสันตามธรรมชาติที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละผืน ทำให้กระเป๋าทุกใบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
Suvino’s Note: เป็นวัสดุที่สร้างความโดดเด่น และมูลค่าสูงให้กับสินค้าแฟชั่น ในกระบวนการผลิต และการวางแบบตัด (pattern placement) มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้ลายที่สวยงามที่สุดบนตัวกระเป๋า เหมาะสำหรับทำเป็นส่วนตกแต่ง หรือทำกระเป๋าสำหรับคอลเลคชั่นพิเศษ
5. Genuine Leather
Genuine Leather เป็นคำกว้าง ๆ ที่หมายถึงหนังแท้ แต่ในทางอุตสาหกรรมมักจะหมายถึงหนังชั้นกลาง (Split Leather) ที่ผ่านการแก้ไขปรับปรุงผิวหน้า (Corrected Grain) โดยการขัด และปั๊มลายใหม่เพื่อให้ดูเรียบเนียนสม่ำเสมอ
Suvino’s Note: แม้จะไม่ใช่เกรดสูงสุด แต่ Genuine Leather ยังคงให้ความรู้สึก และกลิ่นอายของหนังแท้ในราคาที่เข้าถึงง่าย เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับแบรนด์ ที่ต้องการผลิตสินค้าคุณภาพดีในปริมาณมาก (Mass Production) เพื่อตอบโจทย์ตลาดในวงกว้าง
6. Bonded Leather
Bonded Leather หรือหนังอัด เป็นการนำเศษหนังแท้มาบด และผสมกับสารยึดเกาะ เช่น โพลียูรีเทน แล้วรีดออกมาเป็นแผ่น จากนั้นจึงเคลือบผิวหน้า เพื่อสร้างรูปลักษณ์ให้คล้ายหนัง
Suvino’s Note: เป็นวัสดุที่มีต้นทุนต่ำที่สุดในกลุ่มเครื่องหนัง เหมาะสำหรับสินค้าแฟชั่น ที่ต้องการราคาที่เข้าถึงง่ายมาก ๆ หรือสินค้าโปรโมชัน อย่างไรก็ตาม เรามักจะแนะนำให้แบรนด์พิจารณาถึงอายุการใช้งานที่สั้น และความทนทานที่จำกัดของวัสดุประเภทนี้ด้วย
7. Faux Leather
Faux Leather หรือหนังเทียม เป็นวัสดุสังเคราะห์ ที่ผลิตขึ้นเพื่อเลียนแบบหนังแท้ โดยไม่มีส่วนประกอบจากสัตว์ (Vegan-friendly) ที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือ PU (Polyurethane) และ PVC (Polyvinyl Chloride)
Suvino’s Note: หนังเทียม เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับแบรนด์ Vegan หรือแบรนด์ที่ต้องการความหลากหลายด้านสีสันที่สดใส และสม่ำเสมอ ซึ่งทำได้ยากในหนังแท้ นอกจากนี้ ยังเหมาะกับการผลิตกระเป๋าที่มีรูปทรงซับซ้อน หรือดีไซน์สมัยใหม่ เพราะง่ายต่อการขึ้นรูป และควบคุมคุณภาพ
ทั้งนี้ การเลือก และจัดหาเครื่องหนังที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องซับซ้อน และใช้เวลา Suvino เข้าใจปัญหานี้ดี เราจึงให้บริการแบบครบวงจร (One-Stop Service) ในฐานะโรงงานผลิตกระเป๋าที่มีห้องสมุดหนัง (Leather Library) ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในไทย เรามีวัสดุให้แบรนด์ของคุณเลือกครบทุกประเภท ทั้งหนังแท้ และหนังสังเคราะห์ พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษาเพื่อให้คุณเลือกวัสดุที่ “ใช่” ที่สุดสำหรับแบรนด์ของคุณ จบทุกความยุ่งยากด้านการจัดหาวัสดุได้ที่นี่ที่เดียว
เทียบ 3 ประเภทหนังยอดนิยม หนังแท้, Vegan และ PU ต่างกันอย่างไร
หลังจากที่เราได้เรียนรู้ประเภทของเครื่องหนังกันไปแล้ว หากต้องการเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายที่สุด เราจะพาคุณมาดูความแตกต่างระหว่าง 3 วัสดุยอดนิยมที่พบได้บ่อยในการผลิต และใช้แทนหนังจากสัตว์ ซึ่งได้แก่ หนังแท้ หนังวีแกน (จากพืช) และหนัง PU
ในที่นี้เราจะใช้คำว่า ‘หนัง PU’ เพื่อหมายถึงหนังสังเคราะห์ที่ทำจากพลาสติกเป็นหลัก และใช้คำว่า ‘หนังวีแกน’ เพื่อหมายถึงหนังทางเลือกใหม่ ๆ ที่มีส่วนผสมจากพืชเป็นหลัก เช่น หนังจากสับปะรด กระบองเพชร หรือแอปเปิล ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หนังทั้งสองประเภทนี้ถือเป็น ‘หนังวีแกน’ เพราะไม่ได้มาจากสัตว์
1. พื้นผิว
- หนังแท้: พื้นผิวของหนังแท้มีลักษณะเป็นธรรมชาติ มีความนุ่มเมื่อสัมผัส และเมื่อใช้ไปนาน ๆ หนังจะเกิดลายเฉพาะตัว (Patina) ที่สวยงามยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกหรูหรา
- หนังวีแกน: พื้นผิวหนังวีแกนที่ผลิตจากพืช หรือวัสดุอื่นที่ไม่ใช่สัตว์ จะมีลวดลาย และผิวสัมผัสที่แตกต่างตามวัตถุดิบ โดยรวมจะให้สัมผัสคล้ายหนังแท้ แต่อาจหยาบกว่าบ้างในบางชนิด
- หนัง PU: ผิวสัมผัสมีความเรียบ และเนียนเสมอกัน ถูกออกแบบให้เลียนแบบลายของหนังแท้ แต่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเป็นพลาสติกมากกว่า อีกทั้งไม่มีลวดลายเฉพาะตัวเหมือนหนังธรรมชาติ
2. น้ำหนัก
- หนังแท้: มีน้ำหนักมากที่สุดในทั้ง 3 ประเภท เนื่องจาก เป็นวัสดุธรรมชาติที่มีความหนาและแน่น
- หนังวีแกน: มีน้ำหนักปานกลาง ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ เช่น หนังจากพืชบางชนิดอาจเบากว่าหนังแท้แต่ยังคงความแข็งแรงไว้ได้ดี
- หนัง PU: เบาที่สุดในกลุ่ม เหมาะกับกระเป๋าที่ต้องการความคล่องตัว หรือพกพาเบาสบาย
3. การระบายอากาศ
- หนังแท้: สามารถระบายอากาศได้ดี มีรูพรุนตามธรรมชาติ ช่วยลดความอับชื้นภายในกระเป๋า แต่ต้องดูแลเรื่องเชื้อรา และการเก็บรักษาในที่แห้ง
- หนังวีแกน: ระบายอากาศได้ในระดับปานกลาง ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่ใช้ผลิต และกรรมวิธีการเคลือบผิวหนัง
- หนัง PU: ระบายอากาศได้น้อย เพราะเป็นพลาสติกเคลือบ จึงมักเก็บความชื้น และเกิดกลิ่นอับได้ง่าย หากไม่ได้ดูแลเครื่องหนัง หรือเก็บในที่อากาศถ่ายเท
4. ความทนทาน
- หนังแท้: ทนทานสูง ใช้งานได้นานหลายปี หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม หนังจะแข็งแรง และสวยขึ้นตามกาลเวลา
- หนังวีแกน: ทนทานในระดับปานกลาง เหมาะกับการใช้งานทั่วไป แม้อาจไม่แข็งแรงเท่าหนังแท้ แต่ก็ไม่เสื่อมสภาพง่าย
- หนัง PU: ความทนทานต่ำที่สุดในกลุ่ม มักเกิดการแตกลอก หรือเปื่อยเมื่อใช้งานไปนาน ๆ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสแดด หรือความชื้น
5. ราคา
- หนังแท้: มีราคาสูงที่สุด เพราะเป็นวัสดุธรรมชาติ และต้องใช้กระบวนการผลิตที่ซับซ้อน เหมาะกับสินค้าแบรนด์หรู หรือกระเป๋าที่เน้นงานฝีมือ
- หนังวีแกน: ราคาอยู่ในระดับกลาง บางชนิดที่ผลิตจากพืชหายาก หรือผ่านนวัตกรรมสูง อาจมีราคาสูงพอ ๆ กับหนังแท้ แต่โดยทั่วไปจะคุ้มค่ามากในแง่ความยั่งยืน
- หนัง PU: ราคาย่อมเยาที่สุด เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก เหมาะสำหรับสินค้าราคาประหยัด
เคล็ดลับ เลือกเครื่องหนัง ให้คุ้มค่าสำหรับแบรนด์กระเป๋า
อย่างที่ทราบกันดีว่า “เครื่องหนัง” ไม่เพียงเป็นวัสดุหลักในการทำกระเป๋าเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน การเลือกหนังที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุน ก่อนตัดสินใจเลือกประเภทของหนัง สำหรับแบรนด์กระเป๋าของคุณ ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้อย่างรอบคอบ ดังต่อไปนี้
• สำรวจกลุ่มเป้าหมาย
ก่อนเลือกประเภทของหนัง ควรทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อย่างลึกซึ้ง เช่น เพศ อายุ ไลฟ์สไตล์ หรือค่านิยมของผู้บริโภค เช่น ความยั่งยืน หรือความหรูหรา นี่คือขั้นตอนแรกที่ทีมของ Suvino จะร่วมพูดคุยกับคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าวัสดุที่เราแนะนำ จะสามารถสื่อสารกับลูกค้าของแบรนด์คุณได้อย่างแท้จริง
• ประเมินความคุ้มค่า
การพิจารณาระหว่างต้นทุนวัสดุ กับคุณภาพที่ได้รับเป็นสิ่งสำคัญ ทีมงานของเราสามารถช่วยคุณประเมินความคุ้มค่าในระยะยาวได้ เช่น หนังแท้มีอายุการใช้งานยาวนาน และเพิ่มมูลค่าให้แบรนด์ แต่มีราคาสูง ขณะที่หนังเทียมอาจช่วยลดต้นทุน และเหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เน้นแฟชั่นตามฤดูกาล
• ตอบโจทย์รูปแบบดีไซน์
หนังแต่ละประเภท เหมาะกับงานออกแบบที่แตกต่างกัน ด้วยประสบการณ์ของเรา เราสามารถให้คำแนะนำได้ว่า ดีไซน์กระเป๋าของคุณเหมาะสมกับหนังชนิดใดมากที่สุด เช่น หนังนูบัคเหมาะกับสไตล์เรียบหรู ส่วนหนัง PU สามารถขึ้นรูปทรงที่ซับซ้อนได้ดีกว่า และเหมาะกับดีไซน์แฟชั่นที่ทันสมัย
• ตามเทรนด์ของแฟชั่น
อย่าลืมติดตามกระแสแฟชั่น และพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงเวลานั้น เช่น เทรนด์กระเป๋าวัสดุรักษ์โลก หรือสไตล์มินิมอล ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกประเภทของหนังที่นำมาใช้
หวังว่าคู่มือนี้ จะทำให้การเลือกเครื่องหนังสำหรับแบรนด์ของคุณชัดเจนขึ้น การเลือกพาร์ทเนอร์การผลิตที่เหมาะสม คือขั้นตอนต่อไปที่สำคัญที่สุด Suvino ไม่ใช่แค่โรงงานรับจ้างผลิต แต่เราคือพันธมิตรที่พร้อมเติบโตไปกับแบรนด์ของคุณ ด้วยบริการครบวงจร ทีมงานมืออาชีพ และความมุ่งมั่นในคุณภาพ เราพร้อมทำให้วิสัยทัศน์ของแบรนด์คุณเป็นจริง
เริ่มต้นโปรเจกต์ของคุณกับเราวันนี้ ปรึกษาทีมผู้เชี่ยวชาญของ Suvino ได้เลย !
………………………………………………………………………………………………………………
“The finest handcrafted leather goods in Thailand” – Suvino
เรามีหนังให้เลือกมากที่สุดในประเทศไทย ความประณีตและความเชี่ยวชาญ สะท้อนได้จากประสบการณ์กว่า 36 ปีของ Suvino
Address: 1 Moo 3, Tambol Lak6, Amphur Muang, Pathumthani 12000, Thailand
Map: https://goo.gl/maps/VLvXegPSNEeSacGo9
Tel: 0925969559, 025363542-3
Email: [email protected]
Facebook: suvino รับผลิตกระเป๋าหนังแท้
Inbox: https://m.me/suvinocorp